ทุกวันนี้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ผู้คนหันมาใช้เวลากับสื่อออนไลน์มากขึ้น ทำให้หลายธุรกิจปรับตัวสู่ช่องทางออนไลน์มากขึ้น และทำให้หลายคนมองเห็นโอกาสและช่องทางในการลงทุนด้วยการเปิดร้านค้าออนไลน์ แต่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มือใหม่อาจต้องใช้เวลาคิดและหาข้อมูลมากขึ้น เพราะการขายของออนไลน์นั้นทำได้หลายช่องทางไม่ว่าจะเป็น การขายของผ่าน Website ของตัวเอง การสร้าง Facebook Fanpage การโปรโมทสินค้าผ่าน Instagram หรือการขายผ่าน Line รวมถึงหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลุ่มลูกค้า การตลาดของแต่ละช่องทาง และองค์ความรู้ด้านธุรกิจและเทคโนโลยีต่างๆ
ปัญหาหลักๆ ของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มือใหม่หลายคน ได้แก่
- อยากขายของออนไลน์ แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี
- ไม่มีเงินลงทุนและไม่อยากสต๊อกสินค้า
- ไม่รู้จะขายอะไรดี จะหาสินค้าดีๆได้จากที่ไหน
- หาลูกค้าไม่เป็น ไม่รู้ว่าจะหากลุ่มลูกค้าจากไหน
- ลงโฆษณาก็แล้ว เสียแต่เงินแต่ยอดไม่เพิ่มตาม
- ไม่เก่งคอมพิวเตอร์ ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้
จะดีกว่าไหมหากเรามีระบบการขายสินค้าที่อำนวยความสะดวกให้เราสามารถทำการค้าจากที่ไหนก็ไดในโลก ไม่จำเป็นต้องลงทุนสต๊อกสินค้า ไม่ต้องแพ็คของและส่งสินค้าเอง
ใช่ค่ะ ทับทิมกำลังพูดถึงการขายของแบบ Drop Shipping
Drop Shipping คืออะไร
มันก็คือระบบการขายสินค้า โดยผู้ขายปลีก (ซึ่งก็คือเราเอง) ทำการขายสินค้า (ผ่านช่องทางต่างๆ) โดยไม่จำเป็นต้องสต๊อกสินค้า และไม่ต้องเป็นคนส่งสินค้าเอง โดยใช้ประโยขน์จากระบบออนไลน์
หลักการง่ายๆ คือ เราทำการขายสินค้าในช่องทางต่างๆ ที่เราสร้างขึ้น เมื่อมี order เข้ามา ลูกค้าจ่ายเงินให้เราเรียบร้อย เราก็ทำการสั่งซื้อสินค้าชิ้นนั้นจากผู้ผลิต (อาจจะเป็นโรงงานโดยตรงหรือคู่ค้า) โดยผ่านระบบออนไลน์อีกที จากนั้นเมื่อทางผู้ผลิตได้รับ order จากเรา ผู้ผลิตก็จะทำการแพ็คสินค้า และส่งสินค้าไปยังลูกค้าของเราโดยตรง
ง่ายมั้ยคะ ทางเราผู้ขายไม่จำเป็นต้องสต๊อกสินค้าล่วงหน้า ไม่ต้องแพ็คของและออกไปส่งของ นั่นหมายความว่า เราสามารถเริ่มธุรกิจได้จากเงินลงทุนเท่าไหร่ก็ได้ สามารถสร้างยอดขายมากเท่าไหร่ก็ได้ ไม่จำกัด เพราะเรารู้ต้นทุนล่วงหน้า ทำให้สามารถบวกกำไรเท่าไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ และเราสามารถทำการค้าแบบ dropship กับผู้ผลิตหรือโรงงานกี่รายก็ได้
Drop Shipping ไม่ต้องลงทุน จริงหรือ
จริงค่ะ ในทางทฤษฎีแล้ว เราไม่จำเป็นต้องลงทุนสต๊อกสินค้า แถมไม่ต้องไปส่งสินค้าเองด้วย
แต่ต้นทุนของการขายสินค้ามันมีแค่นี้จริงๆ หรือ
ถ้าเราไม่มีสินค้าในสต๊อก แล้วเราจะเริ่มขายผ่านช่องทางไหน และขายให้ใคร
คำตอบคือ ไม่จำกัดค่ะ ขายช่องทางไหนก็ได้ที่เราสนใจและถนัด
และเนื่องจากปัจจุบัน มีธุรกิจขายส่งที่เริ่มให้บริการ Drop Shipping กันมากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้มีเว็บไซต์จำนวนมาที่เปิดให้บริการ platform ร้านค้าออนไลน์ ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจแบบ Drop Shipping
เว็บไซต์ที่เรารู้จักกันอย่างกว้างขวาง เช่น Amazon, eBay, Esty หรือ Shopify ที่เป็น platform ร้านค้า online ชื่อดัง ที่ก่อตั้งขึ้นในประเทศ Canada
หรือ LnwShop (เทพช็อป), Weloveshopping, Shopee, Lazada เว็บไซท์บริการร้านค้าออนไลน์ ที่เป็นที่รู้จักในไทย
หรือการเปิดร้านผ่าน Social Network ที่เป็นนิยม แบบที่เราคุ้นชินกัน เช่นใน Facebook, Instagram, และ Line นั่นเอง
จะเห็นได้ว่า ในทุกช่องทางการขายนั้น นอกจากเราต้องลงทุนสร้างมันขึ้นมาแล้ว เราจำเป็นต้องหากลยุทธ์การตลาดเพื่อให้ขายสินค้าได้ และนั่นก็เป็นหนึ่งในต้นทุนที่เราต้องลงทุนค่ะ
จะเริ่มทำ Drop Shipping ยังไง
- ค้นหาบริษัทที่ทำ Drop Shipping
จะดีมากหากเรารู้แล้วว่าเราอยากขายอะไร แต่ถ้ายังไม่แน่ใจ ง่ายๆ เลยคือเปิด Google แล้วค้นหา “Dropship + สินค้าที่ต้องการขาย” หรือ “รับสมัครตัวแทนจำหน่าย”
แต่หากอยากเปิดร้านในสเกลที่ใหญ่ขึ้น ได้สินค้าราคาถูกแนะนำให้มองหาบริษัทผู้ผลิตหรือโรงงานที่ให้บริการ Dropship ค่ะ ส่วนใหญ่จะอยู่ตาม dhgate.com, lightinthebox.com, alibaba.com แต่ต้องเลือกดีๆ นะคะ
- เสนอตัวเป็นตัวแทนการขายหรือนายหน้า
ศึกษาให้ดีว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ต้องเสียค่าสมัครไหม เงื่อนไขข้อตกลงมีอะไรบ้าง ต้องทำยอดสินค้าไหม จากนั้นทำการ copy รูปภาพและรายละเอียดสินค้า โดยอาจจะเปิดเว็บไซต์หรือโฆษณาผ่านช่องทางการตลาดต่างๆ เพื่อทำการขายสินค้านั้นๆ ได้เลยค่ะ
- เริ่มต้นขายสินค้า
อาจจะมีการสร้างร้านขายสินค้าใน Page Facebook, Instagram และ Twitter หรือสร้างเว็บไซต์เองก็ได้ค่ะ หากเราได้ลูกค้ามาแล้วและลูกค้าทำการโอนเงินมาให้เรา เราก็มีหน้าที่โอนเงินในราคาที่บริษัทตกลงไว้ค่ะว่าเขาจะขายในราคานี้ แต่กำไรที่เราบวกเพิ่มเราไม่ต้องโอนนะคะ เก็บไว้เป็นรายได้ของเราแทนค่ะ และพอโอนเงินให้ทางบริษัทเสร็จแล้วเราก็ส่งที่อยู่ของลูกค้าให้ทางบริษัทเพื่อจัดส่งสินค้าเป็นอันเสร็จสิ้นค่ะ
แล้วเราจะเลือกผู้ผลิต คู่ค้า หรือโรงงานอย่างไรดีล่ะ
หากเราเป็นมือใหม่ด้านนี้ เราอาจยังไม่มั่นใจว่า ผู้ผลิตเจ้านี้มืออาชีพจริงหรือเปล่า ลองใช้หลักการสังเกตตามนี้ค่ะ
- มีระบบที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้เรา – มีข้อมูลสินค้าครบถ้วน รูปภาพสินค้ามีคุณภาพ นี่คือหลักพื้นฐานในการสังเกตผู้ผลิตค่ะ บางครั้งหากดูที่ราคาถูกอย่างเดียว เราจะมั่นใจได้ยังไงว่าคุณภาพสินค้าจะไม่ถูกตาม
- อัพเดตข้อมูลและจำนวนสินค้าที่พร้อมขายอย่างสม่ำเสมอ – หลายครั้งที่คนทำ Drop Shipping เจอปัญหาที่ว่า มีลูกค้าสั่งของเข้ามา แต่ทางผู้ผลิตไม่มีของส่งให้ ซึ่งส่งผลเสียต่อร้านของเราอย่างแน่นอนค่ะ
- ระบบการจัดส่งสินค้าที่ชัดเจนและติดตามได้ (Tracking Number) – อย่ามองข้ามเรื่องการจัดส่งของนะคะ สำคัญมากจริงๆ ทางผู้ผลิตควรจะมี tracking number ให้เราสามารถติดตามสินค้าได้ว่าตอนนี้ส่งถึงไหนแล้ว คุณภาพและความรวดเร็วในการส่งสินค้า เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ลูกค้าพึงพอใจและกลับมาซื้อซ้ำกับเราค่ะ
- นโยบายการคืนเงินและคืนสินค้าที่ชัดเจน (Return and Refund Policy) – สินค้าหลายๆ ประเภท เช่น อัญมณี เครื่องประดับ และเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ต่างๆ จำเป็นต้องมีการทดสอบก่อนจัดส่งว่าใช้งานได้จริง หากเกิดความเสียหาย ลูกค้าสามารถส่งคืน ขอเปลี่ยน หรือขอเงินคืนได้ และทางผู้ผลิตควรจะมีนโยบายให้สิทธิกับลูกค้าในการส่งคืนหรือคืนเงินในกรณีที่ลูกค้าไม่พอใจด้วย
- มีรีวิวที่น่าเชื่อถือ – รีวิวถือเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญต่อการตัดสินใจเลือกคู่ค้า หากผู้ผลิตเจ้าไหนมีรีวิวดีๆ รวมไปถึงภาพประกอบจากลูกค้าที่เคยมาใช้บริการเยอะๆ ก็ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น
ที่กล่าวมานี้เป็นหลักการคร่าวๆ นะคะ ทุกคนสามารถใช้หลักการเหล่านี้ในการเลือกผู้ผลิตค่ะ แค่เบื้องต้นเพื่อที่เราจะเลือกนำสินค้าของเค้ามาขายนะคะ ของแบบนี้ต้องดูกันยาวๆ ว่า เค้าส่งของให้เราเร็วไหม เค้ารับผิดชอบกับออร์เดอร์ของเราหรือเปล่า หากเรามีปัญหากับลูกค้าหรือสินค้า ทางผู้ผลิตเค้ายินดีช่วยเหลือเราอย่างดีไหม
มาดูข้อดีของการทำ dropship กันค่ะ
- ไม่ต้องลงทุนซื้อสินค้ามาขาย
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น เรามีหน้าที่เป็นพ่อค้าคนกลางหรือนายหน้าหาลูกค้าให้กับผู้ผลิต ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องเอาเงินไปจมอยู่กับการสต๊อกสินค้า
- ไม่ต้องแพ็คของและส่งของเอง
ทางผู้ผลิตจะเป็นคนแพ็คของและส่งของให้กับลูกค้าของเราทั้งหมดค่ะ ซึ่งธุรกิจแบบนี้เหมาะมากสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา หรือทำงานประจำและอยากหารายได้เพิ่ม
- ไม่ต้องเสียเวลาถ่ายรูปสินค้าให้ดูดี
อย่างที่ทุกคนรู้กันว่า ขายของออนไลน์ เราควรมีรูปสินค้าสวยๆ เพื่อโปรโมทและดึงดูดลูกค้า ซึ่งข้อนี้เป็นปัญหาใหญ่ของผู้เริ่มต้นธุรกิจออนไลน์หลายคนเลย ไม่ว่าจะเป็น ถ่ายรูปไม่สวยบ้าง แต่งรูปไม่เป็นบ้าง หรือถ่ายแล้วดูไม่เหมือนมืออาชีพ จนทำให้หมดความน่าเชื่อถือในสินค้าของเรา บางครั้งอาจจะต้องจ้างมืออาชีพถ่ายให้ ทำให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้นอีก แต่สำหรับ Dropship นั้น ทางผู้ผลิตเค้าจะมีรูปสินค้าและรายละเอียดสินค้ามาให้เราพร้อมเลย เราเพียงแค่เซฟและเอาไปโพสขายเท่านั้น ประหยัดเวลา ประหยัดต้นทุนไปเยอะค่ะ
- ไม่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญในสินค้านั้นๆ ก็ได้
หลักการเลือกสินค้ามาขายนั้น ง่ายๆ ค่ะ หนึ่งคือเลือกจากสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เราสนใจและชำนาญ จะทำให้เราสามารถอธิบายรายละเอียดสินค้าได้ดีค่ะ หรือหากไม่รู้จะเลือกอะไรดี สอง ให้เลือกสินค้าที่ขายดีตามกระแส อาจจะต้องทำการบ้านหน่อยว่าช่วงนี้อะไรมาแรง อะไรขายดีได้กำไรดี สำหรับ Dropship นั้น เราแค่รู้จักสินค้าเบื้องต้นก็พอค่ะ รายละเอียดสินค้านั้นผู้ผลิตก็เตรียมให้เราหมดแล้ว เราแค่ต้องศึกษานิดหน่อยจะได้แนะนำลูกค้าได้ค่ะ พอเราขายไปนานๆ เราก็จะคุ้นเคยกับสินค้าของเราไปเอง
- ต้นทุนถูก กำไรงาม
จากหลายๆ ข้อที่กล่าวมาค่ะ ไม่ต้องสต๊อกของ ไม่ต้องแพ็ค ไม่ต้องส่งเอง รูปสินค้าก็ไม่ต้องถ่ายเอง ทำให้เราลดต้นทุนส่วนนี้ไปได้เยอะค่ะ อีกทั้งราคาต้นทุนของสินค้านั้น เนื่องจากเราทำการค้ากับผู้ผลิต คู่ค้า หรือโรงงานโดยตรง เราจะได้สินค้าราคาถูกกว่าท้องตลาดค่ะ ซึ่งเราสามารถนำไปขายบวกกำไรได้ตามที่เราต้องการ (แต่ก็ไม่ควรแพงกว่าราคาตลาดเนอะ)
สิ่งที่ควรระวังในการทำธุรกิจแบบ Drop Shipping
- คู่แข่งทางการค้าเยอะ
เนื่องจากธุรกิจแบบ Drop Shipping เป็นธุรกิจที่เข้าถึงได้ง่าย ทำให้คนหันมาสนใจในธุรกิจนี้กันเยอะ หากเลือกขายสินค้าบางอย่างที่เป็นที่นิยมอยู่หรือสินค้าตามเทศกาล แน่นอนว่าลูกค้าจะเยอะมาก คนขายแข่งก็จะเยอะขึ้นไปด้วยค่ะ
- สินค้าของผู้ผลิตของเราไม่ได้คุณภาพ
ของราคาถูก คุณภาพอาจจะราคาถูกตามไปด้วยก็ได้นะ เนื่องจากเราไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัสสินค้าของจริงมาก่อน หากเราเลือกผู้ผลิตที่ไม่ได้คุณภาพ พอสินค้าถึงมือลูกค้าแล้ว อาจทำให้เกิดปัญหาหลายๆ อย่างตามมาค่ะ เช่น ขอส่งสินค้าคืน ขอคืนเงิน หรือการให้รีวิวเราแย่ๆ นั่นเอง
- บริษัทคู่ค้า Drop Shipping บางเจ้าโกงเงิน
นี่คือสิ่งที่ควรระวังมากๆ ค่ะ เนื่องจากเรามีหน้าที่เป็นนายหน้าขายของ เราจึงไม่รู้ว่าทางผู้ผลิตนั้นได้ส่งสินค้าไปให้ลูกค้าเราจริงมั้ย หากลูกค้าไม่ได้รับของ เราก็ต้องชดเชยเงินให้ลูกค้าไปแทนค่ะ ดังนั้น เราต้องมีวิธีในการสแกนหาผู้ผลิตที่ไว้ใจได้ก่อนเริ่มทำการค้าค่ะ
- การเติบโตของธุรกิจเป็นไปได้ยาก
แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะคะ เนื่องจากว่า ธุรกิจ Drop shipping มันเข้าถึงง่าย คนทำเยอะ มีการแย่งลูกค้ากันเยอะ อาจทำให้เราไม่ได้กำไรตามที่หวังไว้ ดังนั้น เราจำเป็นต้องทำการตลาด หากลยุทธ์ในการเรียกลูกค้ามากขึ้น ทำยังไงให้เรายังขายได้และได้กำไรเยอะตามที่เราต้องการ ใช่ค่ะ เราต้องทำการบ้านกันเยอะขึ้นนั่นเอง
สรุป
การทำธุรกิจทุกอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสียนะคะ ธุรกิจ Drop shipping มันดูเหมือนจะง่ายนะคะ แต่มันยังมีรายละเอียดอีกเยอะ อยากให้ทุกคนศึกษาดูดีๆ ก่อนเริ่มทำ ที่สำคัญ การทำธุรกิจต่างๆ นั้นต้องใช้ความอดทนและความพยายามสูงค่ะ แต่หากไม่เริ่มแม้แต่จะศึกษาหาข้อมูล โอกาสที่จะเป็นไปได้คือศูนย์ใช่มั้ยคะ ทับทิมอยากบอกว่าเส้นทางธุรกิจแบบ Drop Shipping เป็นไปได้ค่ะ หากอยากเริ่ม เริ่มเลยค่ะ
หากมีข้อสงสัยหรืออยากสอบถามอะไรเพิ่มเติม สามารถคอมเมนท์ถามมาได้เลยนะคะ
สอบถามคอร์สเรียน >> Click