ไปปีนและนอนบนกำแพงเมืองจีน (The Great Wall of China)

กำแพงเมืองจีน (The Great Wall of China)
หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ไม่น่าเชื่อว่าสร้างขึ้นโดยฝีมือมนุษย์

 

ทริปนี้เราไปกำแพงเมืองจีน เริ่มจาก Zhengbeilou แล้วเลี้ยวซ้ายไปทาง Mutianyu นอนพักระหว่างทางบนป้อมหนึ่งคืน แล้วเดินกลับทาง Mutianyu ค่ะ

ใช่ค่ะ เราไปนอนค้างบนกำแพงเมืองจีนมา!

มาค่ะ จะเล่าให้ฟัง 

English version CLICK!!

.

 

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2019 

เรานั่งรถไฟความเร็วสูงไปปักกิ่ง จุดหมายปลายทางมีที่เดียวคือ กำแพงเมืองจีน เราไปถึงได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการฉลองวันชาติจีนด้วยการดูโชว์เครื่องบินรบที่เค้าบินโชว์รอบเมืองด้วย วันนี้เราพักผ่อนหนึ่งวัน

 

 

วันที่ 2 ตุลาคม 2019 

 

ด้วยความที่ศึกษาอ่านรีวิวต่างๆ (มาเมื่อวานในระหว่างนั่งรถไฟ) เกี่ยวกับการไปกำแพงเมืองจีน วันนี้เราตื่นแต่เช้า นั่งรถบัสจากที่พักไปยังป้ายรถบัส Dongzhimen Public Transport Hub และนั่งรถบัสสาย 916 Express (12 หยวน) เพื่อตรงไปยัง Huairou North Avenue (Huairou Beidajie) คือไปถึงป้ายนั้นจะมีคนเรียกลงรถเอง ใครที่จะไป Mutianyu ก็ลงรถป้ายนี้เช่นกันค่ะ

 

 

คนที่มาเรียกลงรถคือคนขับแท็กซี่ แต่เราไม่ต้องไปกับเค้า ตามแผนแล้วเราจะไปขึ้นกำแพงเมืองจีนที่ Zhengbeilou เพราะฉะนั้น จากป้ายที่เราลง ให้เดินไปต่ออีกหนึ่งป้าย เป็นป้ายหน้า McDonalds ค่ะ ต้องต่อรถบัสสาย H25 (8 หยวน) ไปหมู่บ้าน Nanjili ซึ่งบัสสายนี้จะมาแค่วันละ 2 เวลาคือ 11.30น. และ 16.30น. ถ้าพลาดคือเปลี่ยนแผนได้เลยค่ะ 

 

 

ตอนนั้นเวลาประมาณเก้าโมงกว่า ดังนั้น เราแวะเข้าแมคทานอาหารเช้า และซื้อไก่ทอดเป็นเสบียงมื้อกลางวัน เพราะยังไงก็ต้องรอรถบัสสาย H25 แนะนำว่าให้ไปเข้าห้องน้ำที่แมคก่อน เพราะนี่คือจุดที่มีห้องน้ำดีๆ ที่สุดท้ายก่อนขึ้นกำแพงเมืองจีนค่ะ

ขึ้นรถบัสสาย H25 ก็เจอชาวต่างชาติสองคู่อยู่บนรถด้วย ไม่ค่อยได้คุยกับเค้าหรอก แต่จุดหมายปลายทางเดียวกันแน่นอน รถบัสพาเรามุ่งหน้าไปยังตีนเขาที่รายล้อมไปด้วยหมู่บ้านต่างๆ ที่ตอนนี้พัฒนาเป็นรีสอร์ทและร้านอาหาร และสุดท้ายเค้าก็บอกให้เราลงและเดินต่อ และนี่คือจุดเริ่มต้นของการ Hiking กำแพงเมืองจีนค่ะ

 


.

.

ต้องบอกว่าเราเดินทางท่องเที่ยว Backpack กับแฟนบ่อยมาก ทริปนี้เป็นทริปแรกที่แฟนให้เราแบกกระเป๋าและสัมภาระเอง เพราะทริปนี้เราวางแผนมานอนบนกำแพงเมืองจีน ดังนั้น เราต้องแบกเต๊นท์และถุงนอน 2 อันที่เราลงทุนซื้อใหม่ (ราคารวมพอๆ กับค่าที่พักดีๆ) รวมไปถึงน้ำและอาหารทุกมื้อขึ้นไปเอง เพราะบนกำแพงเมืองจีนไม่มีอะไรเลย

เราสะพายเป้ กระเป๋าสะพายข้าง กระเป๋ากล้อง และเต๊นท์ รวมๆ แล้วน่าจะ 10 กิโลกรัมได้ บอกเลยว่าปกติไม่เคยหอบหิ้วของเยอะขนาดนี้ แต่ก็ทำใจแล้วล่ะ เพราะของแฟนมีกระเป๋าเป้และถุงนอนสองอัน และน้ำหนึ่งแกลลอน คือหนักมาก

.

.

เวลาบ่ายโมง เราเริ่มต้นเดินบนพื้นราบจากหมู่บ้านเข้าสู่ป่า มันมีทางเดินให้เราอยู่แล้ว เดินตามทางไปเรื่อยๆ ไม่ต้องกลัวหลง มีคนอีกสามสี่กลุ่มกำลังเดินขึ้น และมีอีกหลายกลุ่มที่เดินสวนลงมา มันไม่ได้น่ากลัวนะ

เรื่องเส้นทางเดินป่าก็ค่อนข้างโอเค ไม่มีขั้นบันไดมากมาย ไม่ได้สูงชันปีนป่ายแบบภูกระดึง กม. 5 แต่น่าจะคล้ายๆ ภูกระดึง กม. 4 ค่ะ ใครผ่านภูกระดึงมาได้ ที่นี่ก็สบายๆ เราว่าถ้าเราไม่ต้องแบกของมาเยอะขนาดนี้ก็น่าจะสบายกว่านี้

ระหว่างทางก็จะได้สัมผัสธรรมชาติที่เขียวขจี มือสัมผัสจับกิ่งไม้และโขดหิน โชคดีว่าวันที่เราไปอากาศดีมากๆ รวมไปถึงการเปิดประสบการณ์กับห้องน้ำแบบ hiking style มีทั้งถ่ายหนัก ถ่ายเบา และอ้วก ให้เราได้ตระหนักว่า เออ ถ้าถึงเวลาที่มันปวดมากจริงๆ มันก็ต้องเข้าห้องน้ำกลางป่าแบบนี้ได้!

 

ถึงกำแพงเมืองจีนแล้วจ้า ป้อมนี้มีบันไดให้ปีนขึ้นนะ

 

ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที เราก็มาถึงกำแพงเมืองจีน ป้อม Zhengbeilou ป้อมที่ใหญ่และสมบูรณ์ที่สุดในละแวกนี้ (คิดว่างั้นนะ) ที่นี่วิวสวยมาก มีหลายคนที่มาที่นี่เพื่อสัมผัสบรรยากาศและเดินกลับ ส่วนเราแวะพักถ่ายรูปและทานมื้อกลางวันที่นี่ บ่ายสามโมงครึ่งเราก็เริ่มเดินต่อ

 

วิวจากป้อม Zhengbeilou

ป้อม Zhengbeilou

 

จากนี้ไปจะเป็นการเดินไปตามทางบนกำแพงเมืองจีน โซนนี้จะเป็นโซนซากปรักหักพังที่ไม่ได้รับการบูรณะซ่อมแซมใดๆ เราได้เห็นของจริงว่ากำแพงเมืองจีนทำจากอะไร สภาพเป็นยังไง แล้วก็อึ้งมากที่คนสมัยก่อนเค้าสามารถสร้างได้ขนาดนี้ มาสร้างกำแพงที่สูงมากๆ บนภูเขาสูงเนี่ย สมกับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกมากๆ 

 

 

 

แต่ก็อย่างที่บอก มันคือซากปรักหักพัง ดังนั้น การเดินผ่านย่อมไม่ธรรมดา จะมีจุดที่พีคที่สุดเรียกว่า Ox Horn Edge จุดนี้เป็นจุดที่สูงที่สุด (1,025 เมตร) คือต้องเดินขึ้นไปตามทางที่ไม่เรียบเลย มีอิฐบล็อกระเกะระกะมากๆ จุดสูงสุดจะมีป้อมและมีธงชาติจีนปักอยู่ หากต้องการไปต่อ ทางลงเป็นจุดที่อันตรายที่สุด คือมันลาดชันมากๆ และทางเป็นพื้นหินเรียบๆ และลื่นมากแบบไม่รู้จะเอาเท้าไปวางไว้ตรงไหนดี วิธีการลงคือต้องเกาะกำแพง แล้วค่อยๆ ลงทีละก้าว แนะนำว่าให้ใส่รองเท้าที่พื้นยางยังสภาพดีอยู่ ช่วยได้เยอะเลยค่ะ (เราชอบจุดนี้นะ สนุกดี)

 

Ox Horn Edge จุด Hiking ที่อันตรายที่สุด มีทางเลี่ยงนะ แต่ไม่เลี่ยงสนุกกว่า

ทางขึ้น Ox Horn Edge ก็จะขรุขระประมาณนี้

ป้อมนี้น่าจะสูงที่สุดในย่านนี้ละ

ทางลงที่เรียบลื่นและลาดชัน

 

จากนั้นเราก็เดินไปอีกสองสามป้อมเล็กๆ แล้วก็ปักหลักหาที่กางเต๊นท์บนป้อมป้อมนึงตอนห้าโมงเย็น กางเต๊นท์เสร็จปุ๊บก็มานั่งชมวิวพระอาทิตย์ตกบนกำแพงเมืองจีน บอกเลยว่า ที่พักหลักพัน (ค่าเต๊นท์และถุงนอน) วิวหลักล้านนนนนน

 

 

เราเข้านอนเวลา 20.30 น. ข้างบนมีสัญญานโทรศัพท์นะคะ เล่นเน็ตได้ แต่ต้องมั่นใจว่าคุณมีแบตเตอรี่สำรองเพียงพอให้รอดกลับเข้าเมืองพรุ่งนี้นะ 

.

.

ตอนเช้าเราตื่นตีห้าครึ่ง หลับเต็มอิ่มมากๆ ดีใจที่ไม่ปวดขาใดๆ (ก่อนหน้านี้ซ้อมสควอทมาหนักมาก) ตื่นมารับบรรยากาศยามเช้า ชมพระอาทิตย์ขึ้นบนกำแพงเมืองจีน เปิดประสบการณ์ใหม่มากๆ

จากนั้นก็เริ่มเก็บของ เราเริ่มออกเดินทางเวลา 7.20 น. โบกมือลาป้อมที่พักของเรา ขอบคุณที่ให้เราพักหนึ่งคืนอย่างปลอดภัย

หลังจากจุดนี้ การเดินทางจะง่ายขึ้น เส้นทางบนกำแพงเมืองจีนจะเริ่มเรียบ ไม่หวือหวามาก เราหยุดพักทานมื้อเช้ากลางทาง นั่งกลางแดดเช้ากันเลย กินเสร็จก็เดินทางต่อ

 

 

ประมาณครึ่งชั่วโมง เราก็เดินทางมาถึงจุดเชื่อมต่อป้อม Mutianyu

.

.

กำแพงเมืองจีนตั้งแต่โซนป้อม Mutianyu เป็นโซนที่ได้รับการบูรณะซ่อมแซมให้สวยงาม เปิดให้คนทั่วไปได้เข้ามาเดินชมความยิ่งใหญ่ คือเป็นโซนนักท่องเที่ยวนั่นเอง 

ตรงจุดเชื่อมต่อระหว่างโซน Hiking ที่เรามาและโซนป้อม Mutianyu เป็นอะไรที่ผ่านยากและอันตรายอีกจุดนึง เพราะต้องปีนขอบกำแพงลงมาบนพื้นภูเขาก่อนแล้วปีนไปอีกโซน คนที่อยาก Hiking ที่มาทางป้อม Mutianyu ก็ต้องปีนผ่านจุดนี้เช่นกัน

 

อยากจะบอกว่าโซนป้อม Mutianyu สวยมากเลยนะ จุดแรกที่เชื่อมต่อคือจุดที่สูงที่สุดของโซน แล้วการเดินขึ้นลงภูเขาต่างระดับ เค้าปรับเปลี่ยนให้เป็นบันไดหมดเลย ดังนั้นเราต้องเดินลงบันไดหลายพันขั้นมากๆ เพื่อจะเดินไปให้ถึงป้อมที่มีทางลงจากภูเขา คือปวดขาปวดเข่ามาก ขาสั่นไปหมด ให้เดินขึ้นเขาเราทำได้นะ แต่ให้ลงบันไดนี่อยากร้องไห้เลยอ่ะ และลองนึกสภาพนักท่องเที่ยวที่ต้องเดินขึ้นบันไดดูนะ เราว่าถ้าเราต้องแบกของเดินขึ้นบันไดเราก็ไม่ไหวเหมือนกัน

 

 

พอมาถึงป้อมที่มีทางลงจากกำแพงเมืองจีน เค้าก็ทำบันไดให้ลงอย่างดีเลยล่ะ หลายพันขั้นเลย คนที่อยากขึ้นกำแพงเมืองจีนแต่ไม่อยากนั่ง Cable car ก็ต้องเดินขึ้นบันไดทางนี้นะคะ

 

ลงมาถึงข้างล่างก็จะเจอจุดรอคิวขึ้น Cable car คนต่อคิวยาวมากกกกก ราคา 100 หยวน เราก็ว่าคุ้มนะ ถ้าร่างกายไม่พร้อมก็แนะนำว่าขึ้นเถอะค่ะ เก็บแรงไว้เดินขึ้นบันไดที่กำแพงเมืองจีนทีเดียวเลย

 


.

.

จากนั้นก็ซื้อตั๋วรถ mini bus 10 หยวน เพื่อที่จะนั่งลงไปข้างล่างที่เป็นลานจอดรถและจุดบริการนักท่องเที่ยว เดินออกไปที่ถนนเพื่อไปรอรถบัสสาย H23, H24, H35, H36 (3 หยวน) นั่งไปยัง Huairou North Street (บอกตรงๆ ว่าไม่รู้เรื่องชื่อป้ายหรอก เปิดแมป Baidu ตาม Gps ไปค่ะ) จากนั้นก็นั่งบัสสาย 960 Express (11 หยวน) กลับไปยัง Dongzhimen เหมือนเดิม ถือว่าจบทริปนี้ค่ะ


.

.

ใครที่อยากไปเที่ยวกำแพงเมืองจีนแนะนำว่าออกกำลังกายกล้ามเนื้อขามาก่อนนะคะ สควอททุกวันไปเลย อยากขึ้นแบบสบายๆ สวยๆ ก็ขึ้นทาง Mutianyu นั่ง Cable car ขึ้นไปเลยค่ะ เพราะขึ้นไปถึงก็ต้องเดินขึ้นบันไดอยู่ดี

สำหรับใครที่อยากไป Hiking แบบ 1 day trip เส้นทางเดียวกับเราก็ทำได้นะคะ จาก Zhengbeilou ถึง Mutianyu ใช้เวลาประมาณ 4-6 ชั่วโมงเท่านั้นค่ะ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือ ช่วงเดือนกันยายนและตุลาคม เตรียมอาหารและน้ำไปด้วย อย่าลืมทิชชู่เปียกด้วยค่ะ แนะนำว่ารองเท้าควรจะมีสภาพดีนะคะ นอกนั้นก็พวกหมวก แว่นตากันแดด และเสื้อผ้าก็อาจจะเป็นกางเกงเลคกิ้งหรือขายาว เพราะต้องเดินลุยป่าค่ะ

ข้างบนกำแพงส่วนใหญ่มีสัญญานโทรศัพท์ค่ะ เล่นอินเตอร์เน็ตได้ อย่าลืมพกแบตเตอรี่สำรองไปให้พร้อมด้วยนะคะ
สำหรับเส้นทางไป รวมถึงสายรถบัส เราใช้ Baidu map ค่ะ อาจจะต้องเสียเวลาแปลอังกฤษเป็นจีนนิดนึง แต่ถือว่าดี เป๊ะมากๆ ค่ะ

สรุปค่าใช้จ่ายไปกลับจากปักกิ่ง มีแค่ค่าเดินทางเท่านั้น 34 หยวนต่อคน (ไม่รวมค่าอาหารและน้ำ)

 

สำหรับประสบการณ์การไป Hiking และพักค้างคืนบนกำแพงเมืองจีนครั้งนี้นั้น ประทับใจมากๆ ค่ะ กำแพงเมืองจีนยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือ วิวสวยสุดยอดมากๆ ติดอย่างเดียวคือขาลง ต้องเดินลงบันไดโหดมาก ปวดขาไปหลายวันเลย แต่ครั้งนึงในชีวิต เราต้องได้ไปกำแพงเมืองจีน (The Great Wall of China) หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ไม่น่าเชื่อว่าสร้างขึ้นโดยฝีมือมนุษย์

 

“Take nothing but photographs. Leave nothing but footprints. Keep the wall wild and wonderful!”

Share what you've read:
Posted in Travel and tagged , , .

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *